การช่วยชีวิตเด็กทารก มีประเด็นสำคัญที่แตกต่างจากการช่วยชีวิตในผู้ใหญ่บางประการคือ
1. ในกรณีที่ปากเด็กเล็กมาก การเป่าปากควรเป่าคร่อมทั้งปากและจมูก
การคลำชีพจรควรคลำที่ต้นแขนด้านในหรือที่ขาหนีบ
การกดหน้าอกเด็กเล็กมีให้เลือกสองวิธี คือ วิธีกดด้วยนิ้วมือข้างเดียวสองนิ้วโดยวางนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง รวมสามนิ้วที่หน้าอกเด็ก ให้นิ้วชี้อยู่ระหว่างหัวนมสองข้าง ยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดหน้าอก (ภาพที่ 28)
อีกวิธีหนึ่งคือกดกระดูกหน้าอกด้วยหัวแม่มือสองข้าง โดยใช้สองมือกำรอบทรวงอกเด็กวิธีนี้ต้อง มีผู้ปฏิบัติการอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ช่วยหายใจ (ภาพที่ 29)
การเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากทางเดินหายใจในเด็กทารก ให้จับเด็กนอนคว่ำบนแขนให้ศีรษะต่ำ ตบหลัง จนสำเร็จหรือจนครบ 5 ครั้งถ้าไม่สำเร็จให้พลิกเด็กหงายหน้าขึ้น แล้วใช้นิ้วสองนิ้วกด กระแทกหน้าอก จนสำเร็จหรือจนครบ 5 ครั้ง แล้วตรวจดูสิ่งแปลกปลอมในปาก ถ้าไม่เห็น ให้เป่าปากหนึ่งครั้ง ถ้าเป่าไม่เข้า ให้กลับไปเริ่มต้นเอาสิ่งแปลกปลอมออกด้วยวิธีนอนคว่ำตบหลังใหม่
ในทุกกรณี ไม่ควรล้วงปากหรือคอทารกหากมองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม
ความปลอดภัยในการฝึกอบรม
ยังไม่เคยมีรายงานว่าเกิดการแพร่กระจายโรคขณะทำการฝึกอบรมการช่วยชีวิต ในการทบทวนวารสารเมื่อปี ค.ศ.2000 เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเองได้ทำการฝึกอบรมไปแล้วประมาณ 70 ล้านคน ในแง่ของ การแพร่กระจายเชื้อเอดส์ ยังไม่มีหลักฐานว่าเชื้อเอดส์แพร่ได้ในการทำกิจกรรมทางสังคมทั่วไป เช่น สัมผัสมือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันหรือแพร่ผ่านพื้นผิวต่างๆ ที่ไม่มีชีวิตเช่น แก้วน้ำ ช้อน ส้อม รวมทั้งผิวหุ่น หรือ ติดต่อทางอากาศอย่างไรก็ตาม
ทั้งนี้ผู้จัดฝึกอบรมและผู้เข้ารับการฝึกอบรมควรปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยต่อไปนี้
1. หุ่นฝึกสอนช่วยชีวิตจะต้องได้รับการล้างทำความสะอาดก่อนนำมาใช้ในแต่ละชั้นเรียน ด้วยวิธีการที่แนะนำ โดยศูนย์ควบคุมโรคประเทศสหรัฐอเมริกา (CDC) และ โดยสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
2. ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่แนะนำสำหรับการทำความสะอาดหุ่นเท่านั้น หรือ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่แนะนำโดยผู้ผลิต หุ่นชนิดนั้นๆ ก็ได้
3. การใช้หุ่นในระหว่างผู้เรียนแต่ละคน ใช้เช็ดบริเวณผิวหนังหุ่นที่มีการสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปาก จมูก แก้ม ด้วยแอลกอฮอล์ ทิ้งให้แห้งเอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 นาที แล้วจึงใช้งานต่อไป
ก่อนการใช้หุ่น ผู้เรียนต้องตรวจด้วยสายตาก่อนว่ามีของเหลวใดๆ ตกค้างอยู่ที่หุ่นหรือไม่ หากมีต้องเช็ดทำความ สะอาดบริเวณนั้นด้วยแอลกอฮอล์แล้วทิ้งให้แห้งเองและต้องหลีกเลี่ยงไม่สัมผัสกับของเหลวใดๆ ที่ตกค้างบนตัวหุ่น
11. ความปลอดภัยในการช่วยชีวิตคนจริง
ประมาณ 70-80% ของการเกิดภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นเกิดขึ้นที่บ้าน หากการฝึกอบรมการช่วยชีวิต แพร่หลายดีแล้ว การช่วยชีวิตจะเป็นการช่วยกันและกันของบุคคลในครอบครัว
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960-1998 มีรายงานการติดเชื้อโรคจากการช่วยชีวิตรวมทั้งสิ้น 15 ราย แต่หลังจากนั้นมาถึงปี ค.ศ. 2000 ก็ไม่มีรายงานการติดเชื้อจากการช่วยชีวิตอีก ในบรรดารายงานการติดเชื้อที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 1998 ย้อนหลังไปนั้นเชื้อที่ติดต่อคือ Helicobactor pylori, วัณโรค, Shigella, Streptococcus, Salmonella, หนองใน แต่ไม่เคยมีรายงานว่ามีการติดเชื้อเอดส์, ไวรัสตับอักเสบบี.หรือซี. หรือ cytomegalovirus แต่อย่างใด
โอกาสที่ผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิตจะติดโรคโดยเฉพาะโรคเอดส์มีน้อยมาก ปัจจุบันนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าเชื้อเอดส์ติดได้ จากการเป่าปาก แม้ว่าการเป่าปากอาจทำให้มีการแลกเปลี่ยนน้ำลาย ระหว่างผู้ติดเชื้อเอดส์กับ ผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิต แต่มีการศึกษาพบว่าน้ำลายไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อทั้งในกรณีใช้เครื่องดนตรีชนิดเป่าร่วมกัน หรือ น้ำลายผู้ติดเชื้อ สัมผัสเยื่อเมือกที่ปากผู้อื่น หรือผู้ติดเชื้อกัดผู้อื่น หรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อรดราดแผล หรือรดราดบนผิวหนังผู้อื่น อย่างไรก็ตามความเสี่ยงในเชิงทฤษฎียังคงมีอยู่ ในกรณีที่มีการแลกเปลี่ยนเลือด และ น้ำเหลือง ขณะทำการเป่าปาก โดยเฉพาะในกรณีผู้หมดสติที่ประสบอุบัติเหตุประจวบกับผู้ปฏิบัติการช่วยชีวิตมีแผลในปากหรือบริเวณผิวหนังรอบปาก
อนึ่ง มีหลักฐานแสดงว่าหน้ากากที่ใช้ทำการช่วยชีวิตสามารถป้องกันการผ่านของเชื้อเอดส์ (HIV-1) ในสภาพ การทดลองได้
|